
การทำความเข้าใจว่าพฤติการณ์แบบไหน ไม่เข้าข่าย เป็นเหตุสุดวิสัย นั้นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะบ่อยครั้งที่ผู้คนมักเข้าใจผิดและพยายามยกข้ออ้างนี้ขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว สถานการณ์นั้นๆ ไม่ได้เป็นเหตุสุดวิสัยตามหลักกฎหมายเลยซึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ไม่เป็นเหตุสุดวิสัย มักจะพิจารณาจากองค์ประกอบที่ตรงข้ามกับนิยามของเหตุสุดวิสัยตามมาตรา 8 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กล่าวคือ เป็นเหตุที่สามารถคาดการณ์หรือป้องกันได้ (คาดเห็นได้ และ/หรือ ป้องกันได้) หากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า หรือสามารถป้องกันได้ด้วยการใช้ความระมัดระวังตามสมควร แม้จะเกิดขึ้นแล้วก่อให้เกิดผลกระทบ ก็จะไม่ถือเป็นเหตุสุดวิสัย, เกิดจากความประมาทเลินเล่อ หรือจงใจของคู่กรณี หากการไม่สามารถปฏิบัติตามหน้าที่หรือสัญญาเกิดจากความประมาทเลินเล่อของบุคคลนั้นเอง หรือแม้แต่เกิดจากการกระทำโดยจงใจของตนเอง ก็ไม่สามารถอ้างเหตุสุดวิสัยได้เลย, ไม่ใช่เหตุที่ทำให้การปฏิบัติการเป็นพ้นวิสัย: แม้จะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น แต่หากเหตุการณ์นั้นไม่ได้ทำให้การปฏิบัติตามสัญญาเป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง หรือเป็นไปได้ยากจนเกินควร ก็ไม่ถือเป็นเหตุสุดวิสัย
ตัวอย่างพฤติการณ์ที่ไม่เป็นเหตุสุดวิสัย เช่น…
สภาพอากาศที่คาดการณ์ได้ การเกิดฝนตกตามฤดูกาล พายุที่กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเตือนล่วงหน้า หรือภาวะร้อนจัดตามปกติในฤดูร้อน มักจะไม่ถือเป็นเหตุสุดวิสัย การละเลยหรือเพิกเฉยต่อคำเตือนหากมีหน่วยงานภาครัฐประกาศเตือนภัยล่วงหน้า เช่น เตือนภัยน้ำท่วมใหญ่ แต่บุคคลหรือองค์กรไม่ได้ดำเนินการป้องกันหรือเตรียมพร้อมตามสมควร การเกิดความเสียหายจากเหตุดังกล่าว จะไม่ถือเป็นเหตุสุดวิสัย เพราะเป็นผลมาจากการละเลยต่อคำเตือน ดังนั้น การอ้างเหตุสุดวิสัยไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะยกขึ้นมาเมื่อเกิดปัญหา แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด การทำความเข้าใจในพฤติการณ์ที่ไม่เป็นเหตุสุดวิสัยนี้จะช่วยให้เราสามารถประเมินความเสี่ยงและปฏิบัติตามพันธะสัญญาได้อย่างรอบคอบมากยิ่งขึ้นครับ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 8
“คำว่า “เหตุสุดวิสัย” หมายความว่า เหตุใด ๆ อันจะเกิดขึ้นก็ดี จะให้ผลพิบัติก็ดี เป็นเหตุที่ไม่อาจป้องกันได้แม้ทั้งบุคคลผู้ต้องประสบหรือใกล้จะต้องประสบเหตุนั้นจะได้จัดการระมัดระวังตามสมควรอันพึงคาดหมายได้จากบุคคลในฐานะและภาวะเช่นนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842 – 844/2553
เหตุที่จะถือว่าเป็น เหตุสุดวิสัยตาม ป.พ.พ. มาตรา 8 จะต้องเป็นเหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่ใช่ความผิดของบุคคลผู้นั้น และต้องเป็นเหตุที่ไม่สามารถป้องกันได้แม้บุคคลผู้ประสบเหตุนั้นจะได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้ว การที่จำเลยจัดสรรที่ดินและได้ประกาศขายที่ดินแปลงย่อยพร้อมบ้านพักอาศัยแก่ประชาชนทั่วไปรวมทั้งผู้บริโภคทั้งสิบห้าโดยที่มิได้ตระเตรียมเงินลงทุนไว้ให้พร้อมเสียก่อนเมื่อเกิดปัญหาเกี่ยวกับเงินลงทุน ซึ่งสถาบันการเงินระงับการให้กู้ในระหว่างนั้นเป็นเหตุให้การดำเนินการปลูกสร้างบ้านพักอาศัยหยุดชะงักลง จึงเป็นความผิดของจำเลยที่ไม่เตรียมการป้องกันไว้ก่อนทั้งๆ ที่สามารถกระทำได้ ถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยอันจะเป็นเหตุให้จำเลยหลุดพ้นจากความรับผิด
ติดต่องาน ขอทราบค่าบริการ
คดีความ / รับว่าความ
ที่ปรึกษากฎหมาย
ร่างข้อบังคับและสัญญาทั้งThai/Eng
สอบถามค่าบริการได้ทาง
Line@ คลิ๊ก : https://lin.ee/ltTK0H1
ทนายนำชัย พรมทา โทร : 086 331 4759
ทนายสถิตย์ อินตา โทร : 083 568 1148
ติดตามข่าวสารของเราได้ทาง
Facebook : สำนักกฎหมายนำชัย พรมทา
Youtube : https://www.youtube.com/@numchailawyer_channel
เว็บไซต์ : https://numchailawyer.com/
อ่านบทความทั้งหมด : https://bit.ly/2XVVfKQ
E-mail : numchailaw.office@gmail.com
#สำนักกฎหมายนำชัยพรมทา, #กฎหมาย, #นำชัยพรมทา, #บทความกฎหมาย, #คลังความรู้กฎหมาย, #ปรึกษากฎหมายฟรี, #ปรึกษาด้านกฎหมาย, #จ้างทนายความ, #ทนายคดีอาญา, #ทนายคดีแพ่ง, #จ้างทนายความ, #ฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดู, #ผู้ถือหุ้นฟ้องกรรมการบริษัท,