เลิกจ้างเพราะกิจการขาดทุน ทำไมศาลถึงบอกว่าเป็นเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
เป็นที่ทราบกันดีว่า เมื่อนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยที่ลูกจ้างไม่มีความผิด นายจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างตามอายุการทำงาน พรบ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 118 แต่ก็มีหลายๆครั้งที่นายจ้างมีความประสงค์ที่จะอยากจะลดพนักงานลดค่าใช้จ่าย ก็ยอมเลิกจ้างโดยจ่ายค่าชดเชย แต่พอจ่ายไปแล้ว ลูกจ้างก็ไปฟ้องศาลแรงงานเพื่อเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน มาตรา 49 อีกส่วนหนึ่งต่างหากจากค่าชดเชย ซึ่งหากเป็นการเลิกจ้างโดยที่ลูกจ้างไม่มีความผิดศาลแรงงานก็มักจะสั่งให้นายจ้างจ่ายเสียหายในส่วนนี้อีกส่วนหนึ่งต่างหากจากค่าชดเชย
นายจ้างก็ต้องมานั่งคิดว่าจะทำอย่างไรดีที่จะเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนนี้และก็คิดออกคือ
- ให้ลูกจ้างเขียนใบลาออก เพราะการลาออกเป็นการที่ลูกจ้างบอกเลิกสัญญา ไม่ต้องจ่ายเงินอะไรเลยหรือ
- เลิกจ้างเพราะเหตุกิจการขาดทุน เพราะตามแนวคำพิพากษาของศาลที่เคยตัดสินไว้แล้วว่าหากเลิกจ้างเพราะกิจการขาดทุน ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
ดังนั้น เหตุที่นายจ้างมักจะยกมาอ้างเมื่อเลิกจ้างเพื่อจะไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมที่เป็นที่นิยมชมชอบของเหล่าบรรดานายจ้างทั้งหลายนั่นคือเหตุ “เลิกจ้างเพราะกิจการขาดทุน”
แล้วการเลิกจ้างเพราะเหตุว่ากิจการขาดทุน ศาลจะตัดสินให้นายจ้างชนะคดีลูกจ้างทุกคดีหรือไม่ คำตอบคือ “ไม่” ครับ เพราะถ้าความจริงกิจการไม่ได้ขาดทุนจริงตามที่กล่าวอ้าง ศาลจะตัดสินว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมครับ และ ก็จะสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมแก่ลูกจ้าง ดังนั้นหากนายจ้างท่านใดอยากจะเลิกจ้างลูกจ้างอย่างเป็นธรรม ก็ทำให้กิจการขาดทุนจริงๆนะครับ ลองมาศึกษาแนวคำพิพากษาศาลฎีกาต่อไปนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3933/2546
แม้สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาจ้างที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาการจ้าง จำเลยมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นหนังสือให้โจทก์ทราบ โดยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์ตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 17 วรรคสอง วรรคสี่ ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582 และจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 118 ซึ่งเป็นการเลิกจ้างที่ชอบด้วยกฎหมายคุ้มครองแรงงานอันเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน และจำเลยได้เลิกจ้างโจทก์รวมทั้งพนักงานอื่นเพื่อลดขนาดขององค์กรและลดค่าใช้จ่ายเนื่องจากจำเลยประสบกับการขาดทุนเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำก็ตาม แต่ปรากฏว่าปี 2543 จำเลยมีกำไร และปี 2544 จำเลยได้ซื้อที่ดินราคา 9,000,000 บาทเศษ ด้วยเงินสดส่วนหนึ่งและเงินกู้ธนาคารอีกส่วนหนึ่ง แสดงว่าจำเลยมิได้ขาดทุนจนถึงขนาดต้องลดจำนวนลูกจ้าง เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์กระทำความผิด กรณีจึงเป็นการเลิกจ้างที่ยังไม่มีเหตุอันสมควร จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 49
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 276/2543 และ 1850/2547 วินิจฉัยในทำนองเดียวกัน
สรุปคือ “ถ้าขาดทุนไม่จริงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม”
โดย ทนายนำชัย พรมทา
086-331-4759